1.
สามพันโบก จ.อุบลราชธานี : จากสุนัขผู้ซื่อสัตย์
ก่อเกิดแก่งหิน “แกรนด์แคน
ย่อนเมืองไทย”
“สามพันโบก” ประติมากรรม หินทรายที่เกิดจากแรงวนน้ำกัดเซาะเมื่อหลายพันปี ก่อเกิดเป็นแอ่งเล็กแอ่งใหญ่มากกว่า
สามพันแอ่ง หรือ สามพันโบก (ในภาษาอีสาน)
กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของ อ.โพธิ์ไทร
จ.อุบลราชธานี ลักษณะของแก่งหินมีรูปร่างแตกต่างกันไปคล้ายภูเขาหินกลางลำน้ำโขงก่อเกิดความงามทางธรรมชาติ
คล้ายสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก“แกรนแคนย่อน” ในช่วงฤดูน้ำหลากแก่งหินเหล่านี้ซ่อนตัวจมหายไปใต้ลำน้ำโขงแต่จะปรากฏอวดโฉมความงามทางธรรมชาติให้ได้เห็นกันเฉพาะหน้าแล้งราวช่วงเดือน ธันวาคม – พฤษภาคม เท่านั้น
ตำนานหินหัวสุนัข : ทางเข้าของ “สามพันโบก” แกรนแคนยอนแห่งแม่น้ำโขง มีหินสวยงามลักษณะคล้ายหัวสุนัข ตั้งอยู่ ซึ่งมีเรื่องเล่าก่อนจะมาเป็น “สุนัข” เฝ้า หน้าที่เที่ยวแห่งนี้ว่า แต่ก่อนมีเจ้าเมืองเป็นผู้เรืองอำนาจประทับใจความงามของสามพันโบกจึงได้ส่ง เสนามาศึกษาเพิ่มเติม เมื่อมาแล้วพบขุมทรัพย์เป็นทองคำจึงให้ “สุนัข” เฝ้าทางเข้าจนกว่าเจ้าเมืองจะออกมา เมื่อ เจ้าเมืองได้เห็นสมบัติเกิดความโลภกลัวว่าเสนาจะได้ส่วนแบ่งจึงได้ออกไปทางอื่น สุนัขผู้ภักดีก็เฝ้ารออยู่ตรงนั้นจนตายในที่สุด
บางตำนานก็ว่า ลูกพญานาคในลำน้ำโขงเป็นผู้ขุดแอ่ง แก่ง ให้เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดลำน้ำอีกสายหนึ่งและได้มอบหมายให้สุนัขเป็นผู้เฝ้า ทางระหว่างการขุดซึ่งการขุดนี้ใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน จนกระทั่งสุนัขได้ตายลง และกลายเป็นหินรูปสุนัขเฝ้าปากทางเข้าในที่สุด
2. แก่งคุดคู้ จ.เลย : เพราะความโกรธของนายพรานก่อเกิดตำนานแก่งคุดคู้
แก่งคุดคู้ แก่งน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่ อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เกิดจากการทอดตัวของแนวหินลงไปในลำน้ำโขงโดย
แนวหินเหล่านี้จะเป็นหินก้อนใหญ่จำนวนมากที่เมื่อจมอยู่ใต้น้ำเป็นเวลานาน
จะเกิดสีสันตามธรรมชาติที่แปลกตา เมื่อยามหน้าน้ำหลาก
น้ำในลำน้ำโขงจะไหลเชี่ยวกราก แต่
เมื่อยามน้ำลดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - พฤษภาคม
ก้อนหินต่างๆที่จมอยู่ก็จะค่อยๆโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ
สามารถมองเห็นเกาะแก่งและหาดทรายสีขาวขนาดใหญ่
ที่แซมด้วยหินก้อนกลมเงานับร้อยนับพันก้อนเต็มชายหาด ในช่วงดังกล่าวนักท่องเที่ยวสามารถเดินลงบันไดจากจุดชมวิว ไปเหยียบเล่นและถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันได้
ตำนานความคดเคี้ยวของแก่งคุดคู้ : มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า มีพรานป่าคนหนึ่งชื่อ “ตาจึ่งขึ่งดังแดง” มีรูปร่างสูงใหญ่ชนิดที่เด็กๆ สามารถเข้าไปวิ่งเล่นในฮูดัง (จมูก) ได้
วันหนึ่งแกตามล่าควายเงินมาจากฝั่งลาว
และเฝ้ามองจนกระทั่งควายเงินมานอนแช่น้ำอยู่ที่แก่งคุดคู้ในปัจจุบัน
ระหว่างที่พรานป่ากำลังยกหน้าไม้หมายจะยิง
ก็บังเอิญมีพ่อค้าถ่อเรือผ่านมาพอดี
ทำให้ควายเงินตื่นตกใจวิ่งหนีขึ้นไปบนภูเขา ภูเขาลูกนั้นจึงได้ชื่อว่า “ภูควายเงิน” พราน
ป่าแค้นเคืองคนที่นั่งเรือไปมาตามแม่น้ำโขงเป็นอย่างมาก
จึงได้แบกเอาก้อนหินมาถมกั้นแม่น้ำไว้
สร้างความเดือนร้อนให้ชาวบ้านในละแวกนั้นไปทั่ว
เมื่อพระอินทร์ที่อยู่บนสวรรค์เห็น ดังนั้น ก็ทรงแปลงกายลงมาเป็นเณรน้อย และได้ออกอุบายหลอกให้พรานป่าใช้ไม้ไผ่หรือไม้เฮี้ยะมาทำเป็นคานแบกก้อนหินแทน และด้วยน้ำหนักของหินที่มากเกินไป เลยทำให้ไม้คานหักบาดคอตาจึ่งขึ่งดังแดงตายอยู่ในท่าคุดคู้ แก่งแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า “แก่งคุดคู้” ตามนิทานพื้นบ้านเรื่องนี้นี่เอง
อ่าวถ้ำพระนาง หรือ หาดถ้ำพระนาง ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ อช.แห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เป็น
อีก 1 ไฮไลท์ของการท่องเที่ยวทางทะเลของกระบี่ที่ไม่ควรพลาด
จุดเด่นของที่นี่จะอยู่ที่ถ้ำพระนาง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสุดชายหาด
ภายในถ้ำจะมีขนาดไม่กว้างนัก
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะนิยมปีนขึ้นไปที่บริเวณปากถ้ำ และมองย้อนลงมาด้านล่าง จะเห็นวิวของชายหาดพระนางซึ่งมีความสวยงามเป็นพิเศษ หรือ เมื่อเดินเข้าไปภายในถ้ำมองออกมาที่ปากถ้ำจะเห็นปากโพรงถ้ำ มีหินย้อยลงมาเป็นฉากระย้า สวยงาม มี
ท้องทะเลกว้างและเกาะน้อยใหญ่เรียงรายเป็นฉากหลัง
เมื่อเดินทะลุมาอีกด้านนึง ก็จะพบกับจุดชมวิวที่สวยงามมากๆ
ทีเด็ดที่สำคัญอีกอย่างสำหรับที่นี่ก็คือ ในคืนเดือนมืด จะมีปรากฎการณ์ “พรายน้ำ” เกิดขึ้น เมื่อ
โยนก้อนหิน ก้อนกรวด หรือนำร่างกายลงไป
สัมผัสกับพื้นผิวน้ำบริเวณด้านหน้าอ่าวถ้ำพระนาง
ก็จะเกิดแสงสว่างวาบขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งก่อนจะเลือนหายไป
ตำนานของความรักและความแค้น ก่อนถูกสาป กลายเป็น ถ้ำพระนาง :
เรื่องเล่าของถ้ำแห่งนี้มีอยู่ว่า
นานมาแล้วมีหญิงสาวสวยคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่ปราสาทริมทะเล
ด้วยความงามของนางทำให้มีชายหนุ่มมาหมายปองเป็นจำนวนมาก
แต่นางไม่รับรักใครเลย
อยู่มาวันหนึ่งมีชายหนุ่มจากเกาะหัวขวานมาหาและขอความรักจากนาง
แต่
นางไม่รับรัก ชายหนุ่มผู้นั้นจึงใช้กำลังฉุดคร่าจะเอาตัวนางไปให้ได้
ทันใดนั้นเองมีชายหนุ่มจากเกาะนาคผ่านมาเห็นเหตุการณ์จึงเข้าไปช่วย
นางจึงยอมตกลงจะแต่งงานกับชายหนุ่มเกาะนาค
เมื่อถึงวันนัดแต่งงานชายหนุ่มเกาะนาคก็ยกขันหมากมา ทำให้ชายหนุ่มอื่นๆ
ทราบข่าว และไม่ยอม จึงยกขบวนมาแย่งชิงนาง เกิดรบพุ่งกันชุลมุนวุ่นวายไปหมด
พระฤาษีที่จำศีลอยู่ในถ้ำได้ยินจึง ออกมาห้ามปรามไว้แต่ไม่มีใครเชื่อฟัง
จึงสาปให้เป็นหินไปทั้งหมด นางผู้เลอโฉมกลายเป็นถ้ำนาง ส่วนชายหนุ่มได้กลายเป็นเกาะหัวขวาน เกาะปอดะ เขาหงอนนาค เขาหางนาค ขันหมากที่จมลงในทะเลกลายเป็นภูเขารูปขันหมากอยู่หน้าถ้ำนาง ส่วนข้าวเหนียวกวนที่นำมาในงานแต่งงานได้กลายเป็นสุสานหอย
4. ทะเลบัวแดง หนองหานกุมภวาปี จ.อุดรธานี: ตำนานรัก“ผาแดง-นางไอ่”
“ทะเลบัวแดง” หรือ “ทุ่งบัวแดง” อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ของจังหวัดอุดรธานี ที่ นี่คุณจะได้พบกับเหล่าดอกบัวแดงจำนวนมากมาย ที่พากันเบ่งบานงอกงามทั่วท้องน้ำ สุดลูกหูลูกตานับเป็นหมื่นๆ ไร่ เมื่อสีแดงอมชมพูของดอกบัวเบ่งบานขึ้นพร้อมๆ กัน ก็จะกลายเป็นภาพความงามอันวิจิตรสุดลูกลูกตาราวกับเนรมิตบนผืนผ้าใบ นอกจากนี้บริเวณโดยรอบบึงก็สะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำตามธรรมชาติ การมาเที่ยวชมที่นี่ระยะเวลาที่ดีที่สุดคือ ช่วงเดือนมกราคม ของทุกปี เพราะ เป็นช่วงที่เหล่าดอกบัวจะพากันเบ่งบานชูช่อแตกกอเต็มบึง ทางจังหวัดอุดรธานีก็จะถือโอกาสช่วงนี้จัดเทศกาล ทะเลบัวแดงบาน หนองหานกุมภวาปี ขึ้นเป็นประจำ
ความสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์ นาคและน้ำ ก่อเกิดเรื่องราว ผาแดง-นางไอ่ แห่ง หนองหานกุมภวาปี : ตำนานแห่งนี้มีว่า “นางไอ่คำ” เป็น
ธิดาของพระราชาเมืองขอม
ซึ่งมีสิริโฉมงดงามเป็นที่หมายปองของเจ้าชายเมืองต่าง ๆ
มีอยู่ปีหนึ่งเมืองขอมประสบปัญหาฝนแล้ง เจ้าเมืองขอมจึงจัดการแข่งขันบั้งไฟ
เพื่อเสี่ยงทายขอฝน โดยมีกติกาว่า
หากบั้งไฟของใครขึ้นสูงที่สุดจะยอมยกธิดาให้เป็นภรรยา
มีเจ้าชายหลายนครเข้าแข่งขัน
รวมทั้งท้าวผาแดงแห่งเมืองผาโพง และ ท้าวภังคีโอรสของพญานาคในนครบาดาล เมื่อ
แข่งเสร็จปรากฎว่าบั้งไฟของภังคีไม่ชนะ แต่เมื่อภังคีได้ยลโฉมนางไอ่คำ
ก็ไม่สามารถถอนใจรักได้
จึงปลอมตัวเป็นกระรอกเผือกวิ่งเข้าไปในสวนดอกไม้ของนางไอ่คำ
ด้วยเคราะห์แต่ชาติปางก่อน นางไอ่คำเกิดอยากกินเนื้อกระรอกเผือก จึงสั่งให้นายพรานไปตามล่ามาปรุงอาหาร และนายพรานก็ยิงกระรอกเผือกได้ ก่อนตายภังคีได้อธิษฐานว่า ใครก็ตามที่ได้บริโภคเนื้อของตนจงจมน้ำตายในบาดาล นางไอ่คำได้นำเนื้อกระรอกเผือกมาปรุงอาหาร และแจกจ่ายให้ประชาชนทั้งเมืองกิน
ใน
คืนนั้นเองเกิดพายุฝนแผ่นดินไหวน้ำท่วม
พัดพาผู้คนลงสู่หนองหานและท้องบาดาล (เกิดเป็นคุ้งน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งก็คือ
ทุ่งบัวแดงในปัจจุบัน) ท้าวนาคราชบิดาของภังคีโกรธที่โอรสถูกฆ่า
จึงพาพญานาคจากเมืองบาดาลออกอาละวาดถล่มเมืองขอมจนสิ้น ส่วนท้าวผาแดงเมื่อเห็นเมืองขอมถล่ม จึงพานางไอ่คำขึ้นม้าควบหนีไปทางทิศเหนือ หนีน้ำและบรรดาพญานาคที่ตามพ่นไฟไล่หลังมา แม้ตัวจะหนีพ้นไปแต่ทั้งสองหามีความสุขไม่ เพราะวิญญาณแค้นของภังคีได้วนเวียนมาทวงความแค้นทุก ๆ ชาติไป
5. ถ้ำผานางคอย จ.แพร่ : ตำนานรักต่างชนชั้นของเจ้าหญิงจากอาณาจักรแสนหวี
อีก 1 ที่เที่ยวที่มีตำนานมายาวไกล ไปกันที่ ถ้ำผานางคอย หรือ ถ้ำนางคอย จ.แพร่ ที่
นี่จัดเป็นถ้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ที่มีความสวยงาม ตัวถ้ำอยู่บนผาสูงประมาณ 50
เมตร หน้าถ้ำมีลานหินกว้าง ตัวถ้ำมีความลึกประมาณ 150 เมตร กว้างประมาณ 20
เมตร
ภาย
ในถ้ำเป็นพี้นดินเรียบ บางตอนมีเหวลึก ผนังถ้ำมีหินงอก หินย้อยที่สวยงาม
(ส่วนใหญ่จะเป็นหินงอกหินย้อยที่ตายแล้ว) ส่งแสงสะท้อนเป็นประกายระยิบระยับ
เมื่อต้องแสงสว่างไปตลอดความยาวของถ้ำ บริเวณกลางถ้ำมีหินงอกขนาดใหญ่มีลักษณะคล้ายผู้หญิงอุ้มลูกไว้ในอ้อมแขน เรียกว่า ผานางคอย ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญของถ้ำนี้ เกือบถึงปลายถ้ำมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ให้ประชาชนได้นมัสการ ปัจจุบัน
ทางจังหวัดได้เข้าไปเดินสายไฟฟ้าและติดหลอดไฟให้แสงสว่าง
เมื่อแสงไฟกระทบหินงอกหินย้อย ก็จะเกิดความงามที่แปลกตาน่าชมเป็นอย่างยิ่ง
รักระหว่างชนชั้น สู่ ตำนาน ถ้ำนางคอย : ที่ถ้ำนางคอยแห่งนี้ มีเรื่องราวเล่าขานสืบต่อกันมา เกี่ยวกับเรื่องรักระหว่างชนชั้น ของ ทหารต่ำศักดิ์กับเจ้าหญิงสูงศักดิ์คู่
หนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อ พ.ศ.1700
อาณาจักรแสนหวีมีความเจริญรุ่งเรืองมาก มีกษัตริย์ปกครองอย่างสงบสุข
พระองค์ทรงมีราชธิดาองค์หนึ่งมีสิริโฉมงดงาม มีน้ำพระทัยดี มีพระนามว่า เจ้าหญิงอรัญญานีวันหนึ่งเจ้าหญิงได้เสด็จโดยชลมารคแล้วเรือล่ม
หัวหน้าฝีพายได้ช่วยเหลือเจ้าหญิงไว้ได้ ทั้ง
สองจึงเกิดรักกัน จนเจ้าหญิงทรงครรภ์ พระราชบิดาทราบเรื่องก็ทรงพิโรธ
จึงได้ขังเจ้าหญิงไว้ แต่ฝ่ายชายก็หาโอกาสช่วยพาหนีลงมาทางใต้ โดย
มีกองทหารไล่ตามอย่างกระชั้นชิด เมื่อมาทันที่หุบเขาแห่งหนึ่ง
เจ้าหญิงถูกยิงด้วยธนู ฝ่ายชายจึงพาไปหลบซ่อนในถ้ำเพื่อรักษาพยาบาล
เจ้าหญิงเห็นว่าทหารกำลังตามมา จึงให้ฝ่ายชายหนีไปก่อน และบอกว่าจะคอยฝ่ายชายอยู่ในถ้ำนี้ตลอดไป ด้วยแรงอานุภาพสัจจะ นางจึงกลายเป็นหิน เงยหน้ามองปากถ้ำ รอคอยการกลับมาของชายคนรักจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
“แพะเมืองผี” ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลแม่หล่าย ตำบลน้ำชำ ตำบลทุ่งโฮ่ง ของอำเภอเมือง จังหวัดแพร่ มีเนื้อที่ประมาณ 500 ไร่
เป็นอีกหนึ่งประติมากรรมหินทรายที่เกิดจากปรากฎการณ์ธรรมชาติโดยการกัดเซาะ
ของกระแสน้ำเป็นเวลานาน ทำให้พื้นที่บางส่วนของภูเขาพังทลายลงไป
กลายไปเนินหินสูงต่ำสลับกันไปมา บริเวณหน้าผาและเสาดินมีรูปทรงแตกต่างกัน
ก่อให้เกิดความสวยงามและแปลกตา
ปัจจุบันได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่มีความสำคัญ
อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดแพร่
เรื่องเล่าสมบัติแต่โบราณ ก่อเกิดตำนาน วนอุทยานแพะเมืองผี : เล่า
กันว่า แต่ก่อนบริเวณป่าแห่งนี้ เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์
มีพันธ์ไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาแน่น มีสัตว์ป่าน้อยใหญ่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
วันหนึ่งมีหญิงชราคนหนึ่งซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ ย่าสุ่ม ” เข้าไปหาผัก หน่อไม้ เป็นอาหาร แต่หลงป่าแล้วไปบังเอิญไปพบหลุมเงิน ทองคำ จึงได้นำเงิน และทองคำ ใส่ถุงแล้วเตรียมหาบกลับบ้าน แต่เกิดหลงป่าไม่สามารถนำเอาหาบเงิน ทองคำ ออกมาได้
ย่า
สุ่มจึงวางหาบแล้วหาไม้มาคาดเป็นราว (ราวไม้) ต่อมาจนสามารถกลับบ้านได้
เมื่อถึงบ้านก็ตัดสินใจกลับไปยังจุดที่ทิ้งหาบเงินหาบทองอีกครั้ง
โดยเดินกลับไปตามราวไม้ที่คาดไว้ ( ราวไม้นี้ปัจจุบันเป็นร่องทางน้ำ จากบ้านน้ำชำ ไปยังแพะเมืองผี)
โดยครั้งนี้ย่าสุ่ม ได้ชักชวนชาวบ้านให้เข้าไปด้วยกัน ปรากฏว่า เมื่อไปตามราวไม้จนถึงจุดที่ ย่าสุ่มวางหาบ ก็ไม่พบเงินและทองคำในหาบแต่อย่างใดไม่รู้ว่าหายไปไหน ชาวบ้านจึงขนานนามสถานที่นั้นว่า “ แพะย่าสุ่มคาดราว ” และ
เมื่อช่วยกันค้นหาจนทั่วก็พบรอยเท้าคนเดิน ย่าสุ่ม
และชาวบ้านจึงเดินตามรอยเท้าเหล่านั้นไปจนกระทั่งมาถึงพื้นที่ซึ่งชาวบ้าน
ขนานนามว่า “ แพะเมืองผี ” ในปัจจุบัน ก็ไม่พบรอยเท้าคนอีกเลย
ที่เที่ยวสุดฮิตไปแล้วต้องแวะถ่ายรูปของ เกาะสมุย คือ หินขนาดมหึมาตั้งอยู่ชายทะเล ที่เรียกกันว่า “หินตา – หินยาย”โดยสาเหตุที่มีชื่อเรียกเช่นนี้มาจากลักษณะภายนอกของหินดังกล่าว ที่มีรูปร่างคล้ายอวัยวะเพศชายและหญิง โดย
หินทั้ง 2 ตั้งอยู่ไม่ไกลกัน
นอกจากนักท่องเที่ยวจะมาเยี่ยมชมที่นี่เพราะทึงในความแปลกของหินที่ธรรมชาติ
เสกสรรค์แล้วนั้น
ที่นี่ยังเป็นอีกจุดชมพระอาทิตย์ตกน้ำที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเกาะสมุยอีก
ด้วย
จากคำสัญญาที่ต้องรักษา สู่ที่มา หินตา – หินยาย : มีตำนานเล่าว่า นานมาแล้วมีตายายคู่หนึ่งชื่อ ตาเครงกับยายเรียมเป็นชาวปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เดินทางโดยเรือใบเพื่อไปสู่ขอลูกสาวของตาม่องล่ายที่ จ. ประจวบคีรีขันธ์ ให้แก่ลูกชาย
ครั้นเรือแล่นมาถึงแหลมละไม เกิดพายุใหญ่ทำให้เรือล่ม ทั้งตาและยายซึ่งเป็นคนรักษาสัจจะวาจา เกรงว่า ตาม่องลาย จะโกรธ หาว่าพวกตนผิดสัญญาไม่มาขอลูกสาวตามที่ตกลงไว้ ก่อน
ตายจึงได้อธิษฐานว่าขอให้ทั้งคู่ได้เกิดเป็นสัญลักษณ์อะไรก็ได้
ที่ทำให้ตาม่องล่ายได้ทราบว่า ทั้ง 2 มาหาแล้ว มิได้ผิดคำสัญญาแต่ประการใด ดังนั้นเมื่อตาและยายเสียชีวิต คลื่นได้ซัดร่างมาเกยชายหาด กลายมาเป็นหินตาและหินยายจนถึงปัจจุบัน
8. วัดถ้ำเอราวัณ จ.หนองบัวลำพู : วัดที่มีทีมาจากเรื่องราวนางผมหอมตามหาพ่อบังเกิดเกล้า
“วัดถ้ำเอราวัณ” วัดในถ้ำท่ามกลางขุนเขาที่มีรูปร่างคล้ายช้างหมอบ ในบ้านโนนภูทอง ต.วังทอง อ.นาวัง ตัวถ้ำมีขนาดใหญ่ ภายในมีหินงอกหินย้อยที่สวยงาม
การจะไปถึงตัวถ้ำได้ ต้องเดินขึ้นบันไดจำนวน 611 ขั้นขึ้นไป
เมื่อไปถึงจะพบกับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ภายในถ้ำ ช่วงแรกมีหินถ้ำลักษณะคล้ายอ่างน้ำน้อยใหญ่อยู่ตามผนังด้านข้าง
ช่วงกลางถ้ำเป็นห้องโถงกว้าง มีหินงอกหินย้อยและเสาหินขนาดใหญ่
รวมถึงหินก้อนใหญ่รูปคล้ายช้างหมอบอยู่บนพื้น อันเป็นที่มาของชื่อถ้ำ ต่อจากนั้นก็เป็นห้องที่มีหินงอกก้อนใหญ่คล้ายปะการังซึ่งยังมีน้ำหยดลงมา
เมื่อเดินทะลุไปออกที่โพรงถ้ำอีกด้านจะพบปากถ้ำกว้างอยู่ข้างบน
เดินขึ้นบันไดไปออกบริเวณปากถ้ำจะเป็นจุดชมทิวทัศน์
ที่สามารถมองเห็นวิวโดยรอบซึ่งมีความงดงาม
จากเรื่องเล่า “นางผมหอม” สู่ตำนาน ถ้ำเอราวัณ : ว่ากันว่า กาลครั้งหนึ่ง นางสีดาลูกสาวเจ้าเมืองนครศรีไปเที่ยวป่ากับนางสนมกำนัล และเกิดพลัดหลงรอนแรมไปในป่า ด้วยความหิวกระหายจึงไปดื่มน้ำในรอยเท้าช้าง และรอยเท้าวัวกระทิงป่า
ต่อมานายพรานไปพบเห็นเข้า จึงช่วยนำนางกลับมาส่งยังเมืองนครศรี แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่า กาลต่อมา นางสีดาได้เกิดตั้งท้อง และคลอดลูกมาเป็นหญิง 2 คน คือ "นางผมหอม" และ "นางลุน” เวลาโตมาเด็กทั้ง 2 เติบโตขึ้น ก็มักจะถูกล้อว่าเป็นลูกช้าง-ลูกวัว ทำให้ทั้งสองตัดสินใจขออนุญาตแม่ออกตามหาพ่อจนมาพบฝูงช้างป่าที่จะเข้าทำร้าย
แต่เด็กทั้งสองคนได้ร้องขอชีวิตไว้ พร้อมทั้งบอกว่า ที่ออกเดินทางรอนแรมมาเพื่อต้องการตามหาพ่อพญาช้างสาร พญาช้างสารจึงให้เด็กทั้งสองทดลองปีนไต่ขึ้นงาไปนั่งบนหลังช้าง โดยอธิษฐานว่า หากเป็นลูกจริงก็ให้เดินขึ้นไปนั่งบนหลังช้างได้ ผลปรากฏว่า นางผมหอมไต่ขึ้นไปนั่งบนหลังช้างได้ และ
ถูกนำตัวกลับมาอยู่ด้วยกันที่ถ้ำเอราวัณ ส่วนนางลุนพยายามไต่หลายครั้ง
แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ และเกิดพลัดตกลงมา พญาช้างจึงใช้เท้าเหยียบตายอยู่ ณ
ที่นั้น นั่นเอง
0 comments:
แสดงความคิดเห็น